งา เป็นพืชตะกูลพืชล้มลุก (ชื่อวิทยาศาสตร์: Sesamum indicum) ผลของงามีลักษณะเป็นฝัก จะมีเมล็ด เล็กๆ อยู่ภายในฝัก มีทั้งสีขาว สีดำ และสีแดง เชื่อว่าในอดีต มีการเพาะปลูกงาเพื่อต้องการ ใช้เป็นเครื่องเทศ และนำเมล็ดงา มาบดบีบเป็นน้ำมัน เนื่องจากในเมล็ดงา จะมีน้ำมันอยู่ประมาณ 44-60 เปอร์เซ็น เลยทีเดียว โดยมีการเพาะปลูกกันมานานแล้ว ทางแถบตะวันออกกลาง และแถบเอเชีย นิยมนำเมล็ดงามาเป็นเครื่องเทศ ในการประกอบอาหาร
งา จะมีลำต้นสูงประมาณ 50 - 250 เซนติเมตร ความสูงของต้นงา ขึ้นออยู่กับสภาพ พื่นที่ โดยบางพ้นธุ์ มีกิ่งก้าน บางพันก็ไม่มีกิ่งก้าน งาจะเจริญเติดโตได้ดี ในภูมิประเทศที่มีอากาศร้อน และค่อนข้างแห้งแล้ว เพราะถ้าปลูกในช่างฤดูฝนตก มักจะเกิดโรค ไม่ว่าจะเป็นโคน และลำต้นเน่า ใบร่วง ดังนั้น ในปรเทศไทย ชาวเกษตรกร จึงมักจะทำการเพาะปลูกงาน ในช่วงปลายฝนต้นหนาว และนิยมปลูกในพื้นที่ลาดชัน หรือบนดอย ซึ่งจะระบายน้ำได้ดี เนื่องจาก งาไม่ชอบพื้นที่มีน้ำขังแฉะ
งาขาวและ งาดำ เป็นธัญพืช ที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วย คุณค่าโภชนาการ ทางอาหารมากมาย อาทิเช่น โปรตีน และกรดอะมิโน ที่มีความจำเป็นต่อร่างกายของเรา ไม่ว่าจะเป็น กรดไขมันไลโนเลอิก อีกทั้งยังอุดมสมบูรณ์ไปด้วย วิตามินเอ, แคลเซียม, เหล็ก, วิตามินบีหก, วิตามินบีสิบสอง และแมกนีเซียม
จากการศึกษาวิจัยพบว่า ในงาขาวและงาดำ ยังมีคุณค่าของสารอาหาร แคลเซียมสูงกว่า นมวัวมากถึง 6 เท่า นอกจากนี้ ยังมีสารเซซามิโอ (Sesameo) วิตามินอี และฟอสฟอรัส อีกด้วย
ประโยชน์ของงาขาวและงาดำ
งาปริมาณต่อ 100 กรัม